โดย... พลอากาศตรี บุญเลิศ จุลเกียรติ
ใครที่อยากมีความสุขก็เร่เข้ามา ก่อนจะมีความสุขต้องรู้ก่อนว่าคนเราจะมีความสุขหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 5 ข้อ คือ
1. ดวงชะตา
2. สุขภาพ
3. สิ่งแวดล้อม
4. กรรม (การกระทำของตนเอง)
5. ปัญญา
องค์ประกอบสามข้อแรกจะว่าไปแล้วมันก็ดูจะเกี่ยวกันอยู่บ้างในบางลักษณะ คนดวงดีก็อาจจะเกิดมาสุขภาพดีในสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูลให้มีความสุข แต่การมีสุขภาพที่ดีและการได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับดวงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำหรือกรรมของแต่ละคน และแต่ละสังคมชุมชนด้วย
ผู้เขียนมีความเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า ดวงชะตามีจริงแต่สิ่งที่ทำให้เราเป็นในขณะนี้ และสิ่งที่ทำให้เราเป็นเราในอนาคต คือ “กรรม” หรือการกระทำของเรานั่นเอง เราแต่ละคนอาจถูกดวงชะตากำหนดมาแล้วเป็นเส้นลางๆ แต่กรรมจะเป็นตัวลิขิตที่ชัดเจน ต่อให้เราเกิดมาโชคดีมีพื้นสุขภาพดีมาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าเรายังนอนดึก เที่ยวดึก ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ สุขภาพก็ย่อมเสื่อมโทรมลงได้
สิ่งแวดล้อมก็เช่นกัน จะดีหรือไม่ดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับกรรม คือ การกระทำของทุกๆ หน่วยในสังคมเป็นส่วนใหญ่ จะขึ้นอยู่กับดวงบ้างไม่มากนัก ใครที่เคยรู้สึกว่าโลกนี้ขาดความยุติธรรมและสังคมยังขาดความชอบธรรม พึงตระหนักว่าแท้จริงแล้ว ความยุติธรรมและความชอบธรรมอยู่ในมือเราทุกคนแล้ว เพียงแต่เราจะนำออกมาใช้หรือไม่เท่านั้นใครที่ยังเล่นพรรคเล่นพวก ประจบสอพลอ จงอย่าได้บ่นว่าโลกนี้ขาดความยุติธรรม ใครที่ยังมองความสามารถในการหลีกเลี่ยงกฎหมายหรืออยู่เหนือกฎหมายว่าเป็นการน่ายกย่อง ก็จงอย่าบ่นต่อไปว่าสังคมนี้ขาดความชอบธรรม ถ้าเราต้องการความสุขที่ไม่ฉาบฉวยจอมปลอม เราต้องตระหนักว่า เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องช่วยกันทำให้สิ่งแวดล้อมที่เราอยู่เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีงาม มีคำสอนในศาสนาอิสลามกล่าวไว้ว่า “ถ้ามนุษย์ไม่ช่วยกันกำจัดความชั่วร้ายเวลาพระเป็นเจ้าลงโทษ คนดีอาจถูกติดร่างแห”
ดวงชะตาถ้ามีจริงก็อาจเป็นสิ่งที่เรากำหนดไม่ได้และก็คงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครเป็นผู้กำหนด เช่นเดียวกับหลายๆ อย่างที่เราไม่จำเป็นต้องรู้ เช่น เรื่องของเคราะห์ เรื่องของจักรวาล เรื่องของชาติก่อนชาติหน้า ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เคยมีผู้ทูลถามพระบรมศาสดาในสมัยพุทธกาล ซึ่งท่านก็ทรงตอบว่ายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์หาคำตอบไม่ได้ และก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบให้เสียเวลา เพราะคำตอบซึ่งถึงแม้จะได้มาก็ไม่มีประโยชน์ในการนำมาใช้ดับทุกข์ คำตอบหรือวิธีที่มนุษย์สามารถนำมาใช้ดับทุกข์ได้มีอยู่แล้ว ตามที่ทรงแสดงไว้ในโอวาทปาฏิโมกข์ นั่นก็คือ ผู้ใดต้องการพ้นจากความทุกข์ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องการมีความสุข พึงปฏิบัติ 3 ประการ ได้แก่
1. จงละจากความชั่วทั้งปวง
2. จงกระทำในสิ่งดีงามอันพึงกระทำ
3. จงทำจิตให้ตื่น รู้ และเบิกบานด้วยปัญญา
ปัญญาที่แท้จริงคือ ปัญญาแห่งความรู้เท่าทันธรรมชาติตามความเป็นจริง และการรู้เท่าทันธรรมชาติ คือความเข้าใจในไตรลักษณ์อย่างถ่องแท้นั่นเอง ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะสามประการของธรรมชาติซึ่งมีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง องค์พระบรมศาสดาท่านตรัสรู้และเห็นแจ้งว่า แท้จริงแล้วทุกสรรพสิ่งมีลักษณะสามประการในตัว คือ ทุกขัง อนิจจัง และอนัตตา นั่นก็คือทุกสรรพสิ่งเป็นเพียงการปรุงแต่ง ที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปโดยไม่สามารถทนในสภาพเดิมได้ มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามเหตุและปัจจัยโดยมิได้มีตัวตนเป็นตนเองที่แท้จริง
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนไปตามธรรมชาติของมัน การเปลี่ยนแปลงที่เราพอใจ เราก็ดูว่ามันเป็นความสุข การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา เราก็รู้สึกเฉยๆ แต่การเปลี่ยนแปลงใดที่เราไม่พอใจ เราก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ และจะว่าไปแล้วพื้นฐานของความทุกข์ทั้งปวงล้วนเกิดมาจากการติดยึดในความเป็นตัวกูและของกูนั่นเอง
สาเหตุที่มนุษย์มีความติดยึดในความเป็นตัวกูและของกูอย่างเหนียวแน่นเนื่องมาจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อุบัติมาในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนด หรือบงการให้ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดจนกระทั่งได้สืบพันธุ์ก่อน แล้วจะถูกปล่อยให้ตายไป ธรรมชาติจึงยัดเยียดสัญชาติแห่งความเป็นตัวกูและของกูมาให้พวกเราเกาะติดอย่างเหนียวแน่น เพื่อจะได้ดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะทำให้ตัวกูอยู่รอด จนสามารถมีลูกกูและหลานกูตอบสนองบงการของธรรมชาติต่อไปนั่นเอง มนุษย์ถูกสร้างมาให้มีความฉลาดสารพัด แต่ก็ถูกสร้างมาให้โง่บัดซบด้วย เพราะถ้าเราฉลาดสุดๆ อย่างเดียว เราจะปฏิวัติธรรมชาติได้สำเร็จและดิ้นตัวเองให้หลุดจากวัฏสงสารไม่ต้องเป็นทาสรับใช้ธรรมชาติเหมือนเช่นทุกวันนี้ ธรรมชาติจึงสร้างให้โลกนี้ดูงดงาม และให้อารมณ์อันสุนทรีในศิลปะแขนงต่างๆ เพื่อให้มนุษย์หลงอยู่ในความเบิกบาน ในขณะเดียวกันก็ให้ความโง่จากความติดยึดในความเป็นตัวกูและของกูติดตัวเรามาด้วย เพื่อให้เราดิ้นไม่หลุดจากวัฏสงสารนี้
และเพราะความโง่นี่เอง มนุษย์จึงต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดแบบผิดๆ เรายังแย่งกันกิน แย่งที่ดินกันนอน อิจฉา ริษยา ให้ร้ายป้ายสี แก่งแย่งชิงดี และรบราฆ่าฟันกันด้วยความโง่เขลา เพราะความโง่นี่เอง เราจึงมีความเจ้าชู้ สำส่อน และประพฤติผิดในกาม จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดทุกข์มากมายหลายรูปแบบจนเป็นปัญหาเต็มโลกอยู่ขณะนี้
ถ้าจะสรุปให้ชัดเจน ต้นตอสำคัญที่ทำให้เกิดความทุกข์ของมนุษย์ก็คือความโง่ และการติดยึดในความเป็นตัวกูและของกูแบบโง่ๆ นั่นเอง และเพราะความโง่เราจึงยังทำสิ่งที่เป็นความชั่ว เพราะความโง่เราจึงยังละเลยการกระทำความดี และเพราะความโง่และความติดยึดในความเป็นตัวกูและของกู เราจึงยังเป็นทุกข์กับความเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่มีใครห้ามไม่ให้เกิดได้
ดังนั้น ใครอยากมีความสุข ถึงแม้เราจะกำหนดดวงชะตาของเราเองไม่ได้เต็มที่ เราก็สามารถรักษาสุขภาพของเราให้ดีตามกำลังความรู้ความสามารถ สามารถช่วยกันจรรโลงสิ่งแวดล้อมและระบบการอยู่ร่วมกันในสังคมให้ดีขึ้นได้ และที่สำคัญคือเราจะต้องเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรมและมุ่งมั่นที่จะละจากความชั่วทั้งปวง และทำความดีในทุกโอกาสที่จะกระทำได้ตามกาลเทศะที่เหมาะสม
สิ่งที่ยังเป็นที่คลุมเครือสำหรับหลายๆ คนก็คือ ทำไมคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่กระทำแต่ความดีจึงยังเป็นทุกข์ คำตอบคือ
1. เพราะทำดีไม่พอ
2. เพราะทำดีแต่ไม่ฉลาด
การกระทำความดีแล้วมีความสุขได้ ต้องแยกแยะระหว่างความดีกับผลดีให้ชัดเจนเสียก่อน เมื่อเราทำดี สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือความดี ส่วนผลดีจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัย และเมื่อเราทำชั่ว สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีก็คือความชั่ว และผลชั่วจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับเหตุและปัจจัยอื่นๆ อีกเช่นกัน
การทำดีที่จะได้เป็นผลดีชัดเจนหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับเราทำดีพอหรือเปล่า และเมื่อทำดีแล้วจะมีความสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าเราทำดีด้วยปัญญาหรือทำดีด้วยความโง่
การทำดีให้พอ
1. ต้องเป็นการทำดีที่พร้อมด้วยกาย วาจา และใจ
2. ทำดีถูกกาลเทศะ (ไม่ทำดีเอาหน้า ไม่ทำดีแล้วเด่น ข้ามหน้าข้ามตาผู้อื่น และไม่คบคนพาล)
3. ทำดีด้วยความเชื่อมั่นในความดี มีความอดทนเพียงพอ
หลายคนทำความดีไม่ได้ผลดีเท่าที่คาดหวัง เพราะทำดีแต่ปากเสีย ทำดีแต่ไปข้ามหน้าผู้อื่นและทำดีแต่ขาดความอดทน ฯลฯ
คนที่ทำเต็มที่แล้ว ยังมีจำนวนไม่น้อยที่ยังมีความทุกข์อยู่ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากทำดีแต่ไม่ฉลาด คือทำดีแต่ยังติดยึดนั่นเอง
ใครอยากจะก้าวมาถึงจุดที่
1. หากภารกิจที่เราทำอย่างเต็มความสามารถได้ผลออกมาไม่เป็นตามที่คาดไว้ เราจะไม่เสียใจ
2. เราจะรับทราบข่าวการจากไปตามธรรมชาติของคนที่เรารักได้โดยไม่หวั่นไหว และ
3. เราจะรับทราบถึงระยะสุดท้ายของชีวิตเราได้ด้วยความมั่นคงของจิตใจ
ผู้ที่จะมาถึงจุดนี้ได้จะต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด และมีความศรัทธาในองค์พระเป็นเจ้าอย่างเที่ยงแท้ ถ้าเราเป็นคริสตศาสนิกชน หรือเป็นมุสลิม แต่สำหรับพุทธศาสนิกชน เราจะถึงจุดนี้ได้ถ้าเราทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด และมีปัญญาแห่งความเข้าใจในไตรลักษณ์อย่างกระจ่างชัด
งานที่เราตั้งใจทำเต็มที่อาจไม่ประสบผลสำเร็จตามที่คาดไว้ เพราะอาจมีสาเหตุอื่นหรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด งานจะประสบผลสำเร็จหรือไม่จึงไม่สำคัญเท่ากับว่าเราได้พยายามเต็มที่ในทุกๆ ด้านหรือยัง
ผู้ที่เรารักที่สุด หรือแม้แต่ตัวเราเองมีโอกาสจะหมดลมหายใจไปจากโลกนี้เมื่อไรก็ได้ การจะหมดลมหายใจเมื่อใดจึงไม่สำคัญเท่ากับว่าเราได้เตรียมทุกอย่างให้พร้อมแล้วหรือยัง
วิธีเตรียมพร้อมที่ดีที่สุดก็คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ด้วยปัญญาที่แท้จริงเท่านั้น นั่นก็คือ เราท่านทั้งหลายพึงที่จะ
1. ละความชั่วทั้งปวง
2. กระทำความดีเท่าที่ทำได้อย่างเหมาะสม และ
3. ยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมั่นคง ถ้าเราเป็นคริสตศาสนิกชน หรือเป็นมุสลิม และถ้าเราเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ต้องพัฒนาปัญญาให้ถึงความเข้าใจในไตรลักษณ์อย่างถ่องแท้เพื่อลดความติดยึดอันเป็นเหตุที่ทำให้ทุกข์
ปัญญาอาจจะเกิดได้จากการฟัง การอ่าน (สุตมยปัญญา) อาจเกิดจากการนำไปคิดไตร่ตรอง (จินตามยปัญญา) แต่ถ้าทั้งฟังทั้งอ่านและทั้งคิดไตร่ตรองแล้วก็ยังทำใจไม่ได้ก็คงต้องพึ่งภาวนามยปัญญา คือการทำจิตให้สงบมีพลังด้วยสมถะกรรมฐาน และนำเอาสิ่งที่เคยฟัง และเคยคิดมาแล้วแต่ยังคิดไม่ตกมาพิจารณาใหม่ขณะที่จิตกำลังมีพลัง (วิปัสนากรรมฐาน) ปัญญาที่แท้จริงก็อาจจะเกิดขึ้นได้
ขอแถมคาถาสำหรับผู้ที่อยากมีความสุข 2 คาถา เป็นการส่งท้าย
คาถาแรก “จงอย่าทุกข์เพราะความเลวของผู้อื่น จงทุกข์เมื่อตนเองเลว” แล้วเราก็จะคุมความทุกข์ได้ถ้าเราไม่ประพฤติผิด
คาถาที่สอง คือ หินก้อนใหญ่ๆ มักหนักก็จริงอยู่แต่ถ้าเราไม่ไปยกมัน มันก็น่าจะไม่หนัก เพราะฉะนั้น “ปล่อยวางซะบ้างเถิดโยม”