Back Office : | Login  

ขณะนี้คุณอยู่ที่หน้า : ผลงานวุฒิอาสา > องค์ความรู้
 บทความของวุฒิอาสา Minimize

Tuesday, June 17, 2008  
 พ่อแม่อยากให้ลูกเรียนเก่ง
:: 7597 Views :: ด้านการศึกษา

 โดย...ไพบูลย์  จันทยศ

มหาวิทยาลัยมิชิแกน  สหรัฐอเมริกา  ทำวิจัยโดย เอาชนชาติต่างๆ  ที่ไปเรียน-ไปดูงาน-ไปประชุม
ที่ประเทศเขา-เอาไปเข้าค่ายลองปัญญา 7 วัน  แล้วพบว่าชนชาติที่มีสมรรถภาพทางสมองเป็น
เยี่ยมที่สุดในโลก  คือคนไทย

 แล้วทำไมคนไทยคิดอะไร  ทำอะไร  สู้ฝรั่งไม่ได้.....

 สาเหตุอยู่ที่ระบบการศึกษาเรา  ไม่เน้นความคิด  เราไปเน้นแต่ความรู้…เราจึงมีแต่คนรู้มาก  (เก่งรู้)...... ถ้าสอบแข่งความรู้กัน  ฝรั่งสู้คนไทยไม่ได้

 การศึกษาฝรั่งเขาเน้นให้เด็กคิด…คนฝรั่งจึงเก่งคิด  เก่งทำ  เทคโนโลยีทั้งหลายเกิดจากหัวคิดฝรั่ง.....ถ้าสอบแข่งความคิดกัน  เราแพ้ฝรั่งหลุดลุ่ย

 เราจึงปฏิรูปการศึกษาโดยให้ครูสอนยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง.....ครูไม่รู้เรื่องเพราะแปลเอาคำฝรั่งมา

 แต่ถ้าบอกว่าสอนให้เด็กคิดเป็น-ทำเป็น  ครูรู้และก็สอนได้  เพราะเคยสอนมาเมื่อปฏิรูป  ปี 2521  มาแล้ว

 คนไทยเราเข้าใจคำว่า  “คนเก่ง”  คือคนมีความรู้มาก  เห็นมาก-ประสบการณ์มาก  เราก็เลยจัดการศึกษา  โดยสอนลูกหลานให้เป็นคนมีความรู้มาก.....อันนี้แหละคือความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง......ผิดอย่างใหญ่หลวง  ทำให้บ้านเมืองต้องด้อยพัฒนา

 คนรู้มากคือคนท่องความรู้  สะสมความรู้.....คนพวกนี้มีความรู้เต็มสมอง..........ความรู้ไปทับถมความคิดในสมองหมด  ความคิดจะแคบ.......คนคิดแคบ  ก็คิดอะไรสู้คนอื่นไม่ได้

 สรุปแล้ว  คนรู้มากก็คือคนคิดแคบ-คิดตื้น = คนโง่  ที่คนไทยเราคิดอะไรทำอะไรสู้ฝรั่งไม่ได้  ก็เพราะเราโง่กว่าฝรั่ง

 การที่เราโง่กว่าฝรั่งเพราะเราสอนความรู้  ฝรั่งเขาสอนความคิด.......มหาวิทยาลัยมิชิแกนของสหรัฐ  วิจัยพบว่าคนไทยมีสมองเป็นเยี่ยมกว่าชาติใดในโลก

 เรามีสมองเป็นเยี่ยมแต่โง่  ก็เพราะจัดการสอนลูกหลานผิดทางอย่างที่ว่ามานี่แหละ

กระทรวงศึกษาไทย  ปฏิรูปการศึกษามาไม่รู้กี่ครั้ง
เพื่อให้คนไทยคิดเก่ง - ทำเก่ง  แต่ไม่สำเร็จสักครั้ง
เพราะไม่รู้จักวิเคราะห์หาสาเหตุ  ปฏิรูปจึงเจ๊ง


ปฏิรูปให้ครูสอนความคิด  แต่ดันสอบเอาความรู้
ผู้บริหารมีความรู้มาก...ความคิดจึงแคบ  จึงแก้ปัญหาปฏิรูปไม่ถูก

สอนแบบ 5 ค. ได้ความรู้-คู่คุณธรรม

 ค. 1  (ค. 2+ ค. 3+ ค. 4+ ค.5)   =   ความรู้ + คุณธรรม
(ค. 1)  =  (คณะ)  หรือกลุ่ม...............(ค. 2)  =  (ค้น)...............(ค. 3)  =  (คว้า)  (ค. 4)  =  (คิด)............(ค. 5)  =  (คาย)

**********************************************

วิธีสอนแบบ  5 ค. นี้  หน่วยศึกษานิเทศก์จังหวัดเชียงราย  ได้พัฒนาจากวิธีสอนแบบต่างๆ  เอามาหลอมเป็นวิธีสอนแบบครอบจักรวาล  เรียกว่าวิธีสอนแบบ (5 ค.)  ให้ครูเอาไปลองใช้กับการปฏิรูปหลักสูตรปี 2521  ได้ผลทำให้เด็กมีพฤติกรรมตรงตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแทบทุกข้อ .........มีเพื่อนครูจากเชียงรายไปเรียนปริญญาโทคณะครุศาสตร์  ที่  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้นำไปทำเป็นรายงานส่งอาจารย์สุมน  อมรวิวัฒน์  อาจารย์ให้เอาไปรายงานหน้าชั้น  และได้ A มาแล้ว  เพราะเป็นวิธีสอนที่ไม่มีในตำราฝรั่งมาก่อน

ขั้นตอนวิธีสอน 

โดยแบ่งกลุ่มเด็กเป็นหมู่  เป็นคณะ  (ค. 1)  กลุ่มละ 3 - 5  คน  ถ้ามากไปความร่วมมือทำงานจะไม่ทั่วถึง......แล้วครูก็ให้เลือกหัวข้อที่จะไปค้น  กลุ่มละเรื่อง.....จากนั้นเด็กแต่ละกลุ่มก็จะไปร่วมกัน  ค้น (ค. 2).......เมื่อค้นแล้วก็  คว้า (ค. 3)  คือจดเอามา  จำเอามา  เมื่อจดเอามาแล้วก็เอามา  คิด (ค. 4)  คือวิเคราะห์วิจารณ์  หรือทดลองจนได้ผล.......แล้วก็เอาไป  คาย (ค. 5)  คือ  รายงาน  เอาผลงานมาแสดง  อาจเป็นรายงานหน้าชั้น  แสดงผลงานที่คิดทำขึ้น........นอกจากใช้ระบบ 5 ค. ในการเรียนแล้ว  ยังใช้เป็นกลุ่มทำงานของโรงเรียนได้อีกด้วย

วิธีสอนแบบนี้ได้ทดลองทำกับหลักสูตร  เมื่อปี 2521-2526 ผลที่ประเมินออกมาคือ  เด็กได้ทั้งความรู้  ได้ทั้งคุณธรรมไปพร้อมกัน.....คือครูไม่ต้องเอาศีลธรรมไปสอน  เด็กก็มีคุณธรรมเกิดขึ้นในจิตสำนึกดั่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า  ธรรมะอยู่ที่ใจ

ธรรมะที่ใจมันเกิดขึ้นจากการได้ร่วมกันคิด  ร่วมกันทำ  ร่วมกันแก้ปัญหา  การได้คิดร่วมกัน  ทำให้เห็นความคิดคนอื่นหลายแง่หลายมุม  เมื่อได้เห็นมุมมองหลายแง่หลายมุม  มุมมองเราก็กว้างขึ้น-มุมมองกว้างก็คือปัญญากว้าง......การสอนแบบ 5 ค. ทำให้ปัญญากว้างขึ้น

เมื่อมองเห็นความคิดคนอื่นก็คือเห็นใจคนอื่น  เมื่อเห็นใจคนอื่นก็ทำให้เด็กมีความเห็นใจกัน    ...คนเราลงถ้าเห็นใจกันแล้ว  มันก็รู้รักสามัคคีกัน........เมื่อมันรักสามัคคีกันแล้ว  มันก็เกิดศีลห้าในจิตสำนึก  โดยที่ครูไม่ต้องเอาศีลมาสอน  นั่นคือ-คนที่รู้รักสามัคคีกันมันก็  -1.  ไม่ฆ่ากัน.....-2.  ไม่ลักขโมยของกัน.....-3.  ไม่เป็นชู้ลูก - เมียกัน......-4.  ไม่หลอกลวงกัน........-5.  เห็นเพื่อนกินเหล้าก็ห้ามกัน  เมาไม่ขับ........ศีลห้าข้อ  เกิดจากความรู้รักสามัคคี  ความรู้รักสามัคคีเกิดจากจิตสำนึก-จากการได้คิดร่วมกันทำร่วมกัน  ดังที่พระท่านว่า  “วิสาสา  ปรมา  ญา-ติ”  ในหลวงของเราท่านทรงห่วงใยอยากให้คนไทย  รู้รักสามัคคี.....กระทรวงศึกษาก็เอาศีลธรรมเรื่องความสามัคคีมาพิมพ์เป็นหลักสูตรวิชาศีลธรรมแล้วเอาให้ครูไปสอน-ให้เด็กท่อง-ให้เด็กจด-ให้เด็กจำ  เอาไว้สอบ  จบเทอมก็ออกข้อสอบ....ความรู้รักสามัคคีคืออะไร?..ก......ข.......ค.........ง. ให้เด็กกากบาทข้อถูก  เด็กกาถูกหมด  รู้หมด-จำได้หมด  พอจบประถมไปเรียนมัธยม  ไปเรียนอาชีวะ  มันยกพวกฆ่ากัน.....นี่คือผลของการสอนศีลธรรม  ที่เอาธรรมะยัดปากให้เด็กท่อง.....ธรรมะก็อยู่ที่ปาก  ไม่อยู่ที่ใจ 

ดร. โกวิท  วรพิพัฒน์  อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ  เป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์การศึกษาไทยที่ให้ตัดวิชาศีล-ธรรมออกจากหลักสูตร  ก็มีทั้งพระ-ทั้งครู-ทั้งผู้ปกครอง-ทั้งเด็กโวยวายกันใหญ่....ขนาดมีวิชาศีลธรรมสอนมันยังฆ่ากัน.......ถ้าเอาศีลธรรมออกจากหลักสูตรจะขนาดไหน.........คนทั้งกระทรวงศึกษาไม่มีใครให้คำตอบพวกเขาได้  เพราะ ดร. โกวิทตายไปเสียแล้ว......ในกระทรวงมีแต่คนรู้กว้าง.....แต่คิดแคบ  ปฏิรูปการศึกษาจึงผีเข้าผีออก

บอกให้ครูสอนความคิด  แล้วดันไปสอบเอาความจำ ที่โรงเรียนสามัคคีราษฎร์รังสรรค์  อ.ป่าแดง จ.เชียงราย  ครูแบ่งกลุ่มเด็กทำงานเป็นฝ่ายๆ  เช่น  ฝ่ายดูแลความสะอาดสนาม-ดูแลห้องน้ำ-ดูแลความประพฤติเพื่อนๆ......มีฝ่ายตรวจตราดูแลการทำงานของแต่ละฝ่าย.

ทุกเช้า  เมื่อร้องเพลงชาติแล้วกลุ่มตรวจจะเอาชื่อเด็กที่ทำผิด  ไปอ่านแล้วเชิญออกไปชี้แจงหน้าเสาธง  ชี้แจงแล้วให้นักเรียนร่วมพิจารณาว่าจะให้เขาแก้ไขตัวเองอย่างไร  แล้วโหวตเสียง  ส่วนใหญ่มติเขาจะให้ไปทำความดีมาชดเชยความผิด  เช่น  ให้ทำความสะอาด  ล้างส้วมล้างห้องน้ำ ฯลฯ  เขาทำทุกวัน  จนคดีทะเลาะวิวาทหมดไป  คดีของหายลักขโมยหายไป  โรงเรียนสะอาดสะอ้าน  เด็กมีความรู้รักสามัคคีดีขึ้น........ที่โรงเรียนบ้านสันโค้ง  อ.เมืองเชียงราย  ครูเรือนใจ   อินทะวงศ์  ครูประจำชั้น ป.1  ก่อนนี้เวลาครูก้าวออกพ้นประตูห้อง  เด็กจะเล่นกัน  คุยกัน  ทะเลาะกันเสียงดังลั่นห้อง  แต่พอเอาวิธีสอนแบบ 5 ค. ไปสอนได้เดือนเดียว  คือจัดเด็กนั่งเป็นกลุ่ม  ให้เขาตั้งกฎระเบียบของห้อง  แล้วให้แต่ละกลุ่มดูแลสมาชิกของกลุ่ม  ให้ปฏิบัติตามกฎของพวกเขา

แค่เดือนเดียว  พฤติกรรมเด็กเด็กดีขึ้นผิดหูผิดตา  พอสิ้นปีเธอขอตามเด็กเธอขึ้นไปสอน ป.2 อีก  จบ ป.2  ก็ขอตามขึ้นไปสอน ป.3 อีก  เพราะเธอติดอกติดใจที่เห็นเด็กเรียบร้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน.........ไม่เคยสอนวินัย  แต่เด็กก็มีวินัยด้วยวิธีสอน  แบบ 5 ค. เธอจึงแปลกใจว่า  สอนความรู้คู่คุณธรรม  มันเป็นอย่างนี้เอง  วินัยก็คือคุณธรรม  มันเกิดกับการสอนแบบ 5 ค. โดยไม่ต้องสอนศีลธรรมก็ได้

การสอนแบบ 5 ค. ก็คือ  ธรรมาภิบาล

5 ค.  ประกอบด้วย  คณะ  ค้น  คว้า  คิด  และคาย  หรือระบบกลุ่มแบบประยุกต์  ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

ก.  ระดับห้องเรียน  เช่น  ห้องเรียนมี 40 คน  เราจะแบ่งเป็น 8 กลุ่ม  เราก็ให้นับ 1 - 8 เรียงตัวไปจนครบทุกคน  แล้วก็ให้คนนับ 1 ไปรวมกันเป็นกลุ่ม 1...คนนับ 2 ก็เป็นกลุ่ม 2......นับ 8 ก็กลุ่ม 8......ฯ  แล้วให้แต่ละกลุ่มเลือกหัวหน้า  เลือกเลขาฯ

 ได้หัวหน้ากลุ่ม 8 คน  แล้วก็ให้หัวหน้าทุกคนเป็นคณะบริหารห้องเรียน  โดยเลือกกันเป็นหัวหน้าห้องคนหนึ่ง  เป็นเลขาฯ คนหนึ่ง  ให้เขาร่วมกันร่างกฎระเบียบของห้องเรียนขึ้นเป็นแนวปฏิบัติ.....หากมีใครทำผิดระเบียบก็ให้คณะกรรมการห้องร่วมกันพิจารณา  ประธานเชิญผู้ทำผิดออกไปชี้แจง  แล้วให้ทุกคนในห้องร่วมวิเคราะห์วิจารณ์กัน  ลงท้ายด้วยข้อสรุปว่าจะให้เขาแก้ไขตนเองได้อย่างไร  หรือจะพิจารณาโทษอย่างไร.......คนที่ทำผิด  เพียงแค่ให้ออกไปชี้แจงเท่านั้น  เขาก็เกิดความละอายแล้ว  หากถูกเพื่อนวิพากษ์วิจารณ์เข้าไปอีก  เขาก็ละอายใหญ่หากถูกเพื่อนลงโทษอีก  ก็เกิดความเกรงกลัว.......ความรู้สึกละอาย  และเกรงกลัวต่อการทำผิดก็จะเกิดขึ้นในจิตสำนึกของเขา......ครูลงโทษ  ยังไม่เกิดความเกรงกลัวเท่าเพื่อนลงโทษ 

การสอนแบบ 5 ค. นี้  สามารถนำไปใช้สอนได้ทุกวิชา  นอกจากนำไปใช้สอนทุกวิชาแล้ว  ยังนำไปฝึกให้เด็กรู้งานรู้การ-รู้หน้าที่แบบที่โรงเรียนสามัคคีราษฎร์รังสรรค์  อำเภอป่าแดดเอาไปใช้ได้ผลมาแล้ว

การสอนแบบ 5 ค. ก็คือการสอนแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง  หรือเด็กเป็นสำคัญนั้นแหละ  เพียงแต่เอา 5 ค. นี้  ให้เด็กไปค้นไปคว้ามาแล้ว  ต้องเอามาคิด  เอามาคายให้เพื่อนฟัง  แล้วให้เพื่อนคิดให้เพื่อนอภิปรายแสดงความคิดเห็น  เป็นการบริหาร-หรือเอ๊กเซอร์ไซด์ความคิด  เอ๊กเซอร์ไซด์ปัญญา  จะทำให้ปัญญาเด็กได้รับการพัฒนาให้เป็นคนที่มีปัญญากว้าง  ปัญญาลึก  ปัญญาเฉียบคม  เป็นปัญญาที่มีจิตสำนึก  เป็นปัญญาที่รู้อะไรควร-อะไรไม่ควร  และสามารถใช้ปัญญาที่พัฒนาแล้วนี้ควบคุมพฤติกรรมของตนเองให้เดินไปในทางที่ถูกที่ควร  ซึ่งก็คือธรรมะนั่นเอง......การสอนแบบ 5 ค. จึงเป็นการสอน  “ธรรมาภิบาล”  เป็นการสอน  “จิตสำนึก”  ที่สังคมเราขาดคุณธรรมสำนึกอันนี้อย่างมาก  บ้านเมืองเราจึงมีปัญหาทุกหย่อมหญ้า  เพราะขาดธรรมาภิบาล-จิตสำนึก

การเรียนการสอนที่เป็นมา  ครูไม่เคยสอนให้เด็กเกิดปัญญาเลยเอาอะไรมาสอนก็ให้เด็กจดจำ  ให้เด็กท่องไว้ทำตาม  ท่องไว้สอบเอาคะแนนความรู้แข่งกัน  สมองก้อนไหนรับความรู้ได้มากเราถือว่าเป็นคนเก่ง......ในความคิดแคบๆ  ของผู้บริหารการศึกษาไทยเราคิดว่า  คนรู้มากคือคนเก่ง

แต่ประเทศที่เจริญแล้วเขาถือว่า สมองก้อนไหนบรรจุความรู้ไว้มากๆ  เขาถือว่าเป็นคนโง่  เพราะสติปัญญาในสมองถูกความรู้เข้าไปทับถมจนบี้แบน  ปัญญาก็แคบ  เมื่อปัญญาแคบ  เพียงคิดทำเข็มกะจิ๋วหลิวก็ทำไม่เป็น  จะไปทำเรือรบ-ไปทำมือถือรุ่นแล้วรุ่นอีก  แข่งกะใครเขาได้

เรางมงายอยู่กับระบบการศึกษาแบบถ่ายทอดความรู้มานับศตวรรษ  แม้จะส่งครูบาอาจารย์  ส่งผู้บริหารการศึกษาไปร่ำไปเรียนกับประเทศที่เขาเจริญ  ไปรู้ไปเห็นวิธีสอน  วิธีสอบวัดผลของเขา  ที่มันแตกต่างกับเรา  เราก็ไม่คิด  ไม่สะดุดตา  ไม่สะดุดใจเอาเลยว่า.....

ทำไมห้องสมุดเขาใหญ่โตมโหฬาร  สามารถไปค้นเอาความรู้ทุกสมัยได้ในเวลาไม่กี่นาที  เทียบกับห้องสมุดบ้านเราเหมือนฟ้ากับดิน.....ที่ห้องสมุดบ้านเรากระจอกงอกง่อยเพราะเราเอาสมองเป็นห้องสมุด  เอาความรู้ใส่ไว้ในสมองเด็กแทบทุกอย่าง.....ส่วนเขาเอาสมองเป็นคลังปัญญาความคิด  เขาเอาความรู้ใส่ไว้ที่ห้องสมุด  แล้วฝึกให้เด็กไปค้นไปหา  เอามาคิดต่อ-ทำต่อ  ไม่ใช่เอามาท่องใส่สมองให้โง่อย่างเรา

เวลาสอบทำไมเขาไม่มีกรรมการคุมห้องสอบ.......บางวิชาครูก็ไม่สอบ  ถือเอาผลงานที่ให้ทำเป็นคะแนน  บางครูเขาให้ข้อสอบข้อเดียวไปทำที่บ้าน 7 วัน.........ที่นั่งบริหารกันอยู่กระทรวงศึกษาทุกวันนี้  ต่างก็ไปรู้ไปเห็นวิธีสอน  วิธีวัดผลของเขามาแล้วทั้งนั้น  ไม่ได้เก็บมาคิด  ไม่ได้เก็บมาวิเคราะห์เหตุ-วิเคราะห์ผลกันเลย  ว่าทำไมเขาสอบวัดผลแตกต่างกับของเราลิบลับแบบนั้น.......ก็เพราะความคิดมันถูกทับถมอย่างว่าแหละ  เราเคยแต่สอนโดยยึดความรู้เป็นสำคัญ......ไม่เคยยึดเด็กเป็นสำคัญ  เราเลยไม่รู้ว่าเด็กเป็นศูนย์กลาง-เป็นสำคัญนั้น......สอนอย่างไร 

ตัวอย่างครูฝรั่งสอนโดยยึดเด็กเป็นสำคัญ.......ข่าวจากแคลิฟอร์เนีย  เมื่อปี 2514..........แดนนี่เด็ก ป. 4  เดินไปโรงเรียนผ่านป้ายรถเมล์  เห็นผัวเมียเขาขับรถมาส่งกันขึ้นรถเมล์  ก่อนจากกันเขาก็จูบลากัน  บางคู่จูบกันนาน-บางคู่จูบไม่นาน-บางคู่จูบแค่หน้าผากแป๊ปเดียว-บางคู่แค่โบกมือให้กัน

แกสงสัยก็เลยยืนดูเสียเพลินจนไปถึงโรงเรียน เข้าห้องไป เพื่อนๆ เขาทำเลขกันอยู่.......ครูก็เรียกไปถาม  แดนนี่ทำไมมาสาย  เพื่อนๆ  เขาทำเลขจะเสร็จกันหมดแล้ว.......แกก็ตอบว่า  ผมมัวเพลินดูผัว-เมียเขาจูบลา  ส่งกันขึ้นรถเมล์อยู่ครับ

ครูจึงถามต่อ  ทำไมล่ะ........แดนนี่ก็ตอบ  ผมสงสัยว่าทำไม  บางคู่จูบกันนาน-บางคู่จูบไม่นาน-บางคู่แค่โบกมือให้กัน

ครูก็เลยบอกว่า  อาทิตย์หน้า  ครูให้เธอไปดูต่อนะ  แล้วสรุปสาเหตุมาว่า  ที่จูบนาน-จูบไม่นาน  นั้นเพราะสาเหตุอะไร

สัปดาห์ต่อมาครูก็ให้เขาเอารายงานไปอ่านหน้าชั้น.....แกก็อ่านให้เพื่อนฟังสรุปว่า  “.....คู่ที่จูบกันนานๆ  นั้น  ส่วนมากเป็นคนหนุ่ม  คงแต่งงานกันใหม่ๆ  ความรักยังหวานชื่นอยู่........ส่วนคู่ที่จูบไม่นาน  อายุกลางๆ คน.....และที่ไม่จูบ  แค่โบกมือให้กันนั้นสังเกตเป็นคนแก่แล้ว  อยู่กันมานาน  ความรักคงจืดจางไปมาก.... ”  เพื่อนๆ ฟังแล้วชอบใจ  ตบมือกันใหญ่

เราครูไทยพอจะมองเห็นหรือยังว่าสอนโดยยึดเด็กเป็นสำคัญนั้น

ฝรั่งเขาสอนกันอย่างไร  นั่นคือเขาฝึกให้เด็กค้น-คิดด้วยตนเอง


 Print   
 บทความที่เกี่ยวข้อง Minimize

 Print   
Copyright © 2008 by สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ