โดย...ไพบูลย์ จันทยศ
มหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ทำวิจัยโดย เอาชนชาติต่างๆ ที่ไปเรียน-ไปดูงาน-ไปประชุม
ที่ประเทศเขา-เอาไปเข้าค่ายลองปัญญา 7 วัน แล้วพบว่าชนชาติที่มีสมรรถภาพทางสมองเป็น
เยี่ยมที่สุดในโลก คือคนไทย
แล้วทำไมคนไทยคิดอะไร ทำอะไร สู้ฝรั่งไม่ได้.....
สาเหตุอยู่ที่ระบบการศึกษาเรา ไม่เน้นความคิด เราไปเน้นแต่ความรู้…เราจึงมีแต่คนรู้มาก (เก่งรู้)...... ถ้าสอบแข่งความรู้กัน ฝรั่งสู้คนไทยไม่ได้
การศึกษาฝรั่งเขาเน้นให้เด็กคิด…คนฝรั่งจึงเก่งคิด เก่งทำ เทคโนโลยีทั้งหลายเกิดจากหัวคิดฝรั่ง.....ถ้าสอบแข่งความคิดกัน เราแพ้ฝรั่งหลุดลุ่ย
เราจึงปฏิรูปการศึกษาโดยให้ครูสอนยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง.....ครูไม่รู้เรื่องเพราะแปลเอาคำฝรั่งมา
แต่ถ้าบอกว่าสอนให้เด็กคิดเป็น-ทำเป็น ครูรู้และก็สอนได้ เพราะเคยสอนมาเมื่อปฏิรูป ปี 2521 มาแล้ว
คนไทยเราเข้าใจคำว่า “คนเก่ง” คือคนมีความรู้มาก เห็นมาก-ประสบการณ์มาก เราก็เลยจัดการศึกษา โดยสอนลูกหลานให้เป็นคนมีความรู้มาก.....อันนี้แหละคือความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง......ผิดอย่างใหญ่หลวง ทำให้บ้านเมืองต้องด้อยพัฒนา
คนรู้มากคือคนท่องความรู้ สะสมความรู้.....คนพวกนี้มีความรู้เต็มสมอง..........ความรู้ไปทับถมความคิดในสมองหมด ความคิดจะแคบ.......คนคิดแคบ ก็คิดอะไรสู้คนอื่นไม่ได้
สรุปแล้ว คนรู้มากก็คือคนคิดแคบ-คิดตื้น = คนโง่ ที่คนไทยเราคิดอะไรทำอะไรสู้ฝรั่งไม่ได้ ก็เพราะเราโง่กว่าฝรั่ง
การที่เราโง่กว่าฝรั่งเพราะเราสอนความรู้ ฝรั่งเขาสอนความคิด.......มหาวิทยาลัยมิชิแกนของสหรัฐ วิจัยพบว่าคนไทยมีสมองเป็นเยี่ยมกว่าชาติใดในโลก
เรามีสมองเป็นเยี่ยมแต่โง่ ก็เพราะจัดการสอนลูกหลานผิดทางอย่างที่ว่ามานี่แหละ
กระทรวงศึกษาไทย ปฏิรูปการศึกษามาไม่รู้กี่ครั้ง
เพื่อให้คนไทยคิดเก่ง - ทำเก่ง แต่ไม่สำเร็จสักครั้ง
เพราะไม่รู้จักวิเคราะห์หาสาเหตุ ปฏิรูปจึงเจ๊ง
ปฏิรูปให้ครูสอนความคิด แต่ดันสอบเอาความรู้
ผู้บริหารมีความรู้มาก...ความคิดจึงแคบ จึงแก้ปัญหาปฏิรูปไม่ถูก
สอนแบบ 5 ค. ได้ความรู้-คู่คุณธรรม
ค. 1 (ค. 2+ ค. 3+ ค. 4+ ค.5) = ความรู้ + คุณธรรม
(ค. 1) = (คณะ) หรือกลุ่ม...............(ค. 2) = (ค้น)...............(ค. 3) = (คว้า) (ค. 4) = (คิด)............(ค. 5) = (คาย)
**********************************************
วิธีสอนแบบ 5 ค. นี้ หน่วยศึกษานิเทศก์จังหวัดเชียงราย ได้พัฒนาจากวิธีสอนแบบต่างๆ เอามาหลอมเป็นวิธีสอนแบบครอบจักรวาล เรียกว่าวิธีสอนแบบ (5 ค.) ให้ครูเอาไปลองใช้กับการปฏิรูปหลักสูตรปี 2521 ได้ผลทำให้เด็กมีพฤติกรรมตรงตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแทบทุกข้อ .........มีเพื่อนครูจากเชียงรายไปเรียนปริญญาโทคณะครุศาสตร์ ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำไปทำเป็นรายงานส่งอาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ อาจารย์ให้เอาไปรายงานหน้าชั้น และได้ A มาแล้ว เพราะเป็นวิธีสอนที่ไม่มีในตำราฝรั่งมาก่อน
ขั้นตอนวิธีสอน
โดยแบ่งกลุ่มเด็กเป็นหมู่ เป็นคณะ (ค. 1) กลุ่มละ 3 - 5 คน ถ้ามากไปความร่วมมือทำงานจะไม่ทั่วถึง......แล้วครูก็ให้เลือกหัวข้อที่จะไปค้น กลุ่มละเรื่อง.....จากนั้นเด็กแต่ละกลุ่มก็จะไปร่วมกัน ค้น (ค. 2).......เมื่อค้นแล้วก็ คว้า (ค. 3) คือจดเอามา จำเอามา เมื่อจดเอามาแล้วก็เอามา คิด (ค. 4) คือวิเคราะห์วิจารณ์ หรือทดลองจนได้ผล.......แล้วก็เอาไป คาย (ค. 5) คือ รายงาน เอาผลงานมาแสดง อาจเป็นรายงานหน้าชั้น แสดงผลงานที่คิดทำขึ้น........นอกจากใช้ระบบ 5 ค. ในการเรียนแล้ว ยังใช้เป็นกลุ่มทำงานของโรงเรียนได้อีกด้วย
วิธีสอนแบบนี้ได้ทดลองทำกับหลักสูตร เมื่อปี 2521-2526 ผลที่ประเมินออกมาคือ เด็กได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งคุณธรรมไปพร้อมกัน.....คือครูไม่ต้องเอาศีลธรรมไปสอน เด็กก็มีคุณธรรมเกิดขึ้นในจิตสำนึกดั่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ธรรมะอยู่ที่ใจ
ธรรมะที่ใจมันเกิดขึ้นจากการได้ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ร่วมกันแก้ปัญหา การได้คิดร่วมกัน ทำให้เห็นความคิดคนอื่นหลายแง่หลายมุม เมื่อได้เห็นมุมมองหลายแง่หลายมุม มุมมองเราก็กว้างขึ้น-มุมมองกว้างก็คือปัญญากว้าง......การสอนแบบ 5 ค. ทำให้ปัญญากว้างขึ้น
เมื่อมองเห็นความคิดคนอื่นก็คือเห็นใจคนอื่น เมื่อเห็นใจคนอื่นก็ทำให้เด็กมีความเห็นใจกัน ...คนเราลงถ้าเห็นใจกันแล้ว มันก็รู้รักสามัคคีกัน........เมื่อมันรักสามัคคีกันแล้ว มันก็เกิดศีลห้าในจิตสำนึก โดยที่ครูไม่ต้องเอาศีลมาสอน นั่นคือ-คนที่รู้รักสามัคคีกันมันก็ -1. ไม่ฆ่ากัน.....-2. ไม่ลักขโมยของกัน.....-3. ไม่เป็นชู้ลูก - เมียกัน......-4. ไม่หลอกลวงกัน........-5. เห็นเพื่อนกินเหล้าก็ห้ามกัน เมาไม่ขับ........ศีลห้าข้อ เกิดจากความรู้รักสามัคคี ความรู้รักสามัคคีเกิดจากจิตสำนึก-จากการได้คิดร่วมกันทำร่วมกัน ดังที่พระท่านว่า “วิสาสา ปรมา ญา-ติ” ในหลวงของเราท่านทรงห่วงใยอยากให้คนไทย รู้รักสามัคคี.....กระทรวงศึกษาก็เอาศีลธรรมเรื่องความสามัคคีมาพิมพ์เป็นหลักสูตรวิชาศีลธรรมแล้วเอาให้ครูไปสอน-ให้เด็กท่อง-ให้เด็กจด-ให้เด็กจำ เอาไว้สอบ จบเทอมก็ออกข้อสอบ....ความรู้รักสามัคคีคืออะไร?..ก......ข.......ค.........ง. ให้เด็กกากบาทข้อถูก เด็กกาถูกหมด รู้หมด-จำได้หมด พอจบประถมไปเรียนมัธยม ไปเรียนอาชีวะ มันยกพวกฆ่ากัน.....นี่คือผลของการสอนศีลธรรม ที่เอาธรรมะยัดปากให้เด็กท่อง.....ธรรมะก็อยู่ที่ปาก ไม่อยู่ที่ใจ
ดร. โกวิท วรพิพัฒน์ อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์การศึกษาไทยที่ให้ตัดวิชาศีล-ธรรมออกจากหลักสูตร ก็มีทั้งพระ-ทั้งครู-ทั้งผู้ปกครอง-ทั้งเด็กโวยวายกันใหญ่....ขนาดมีวิชาศีลธรรมสอนมันยังฆ่ากัน.......ถ้าเอาศีลธรรมออกจากหลักสูตรจะขนาดไหน.........คนทั้งกระทรวงศึกษาไม่มีใครให้คำตอบพวกเขาได้ เพราะ ดร. โกวิทตายไปเสียแล้ว......ในกระทรวงมีแต่คนรู้กว้าง.....แต่คิดแคบ ปฏิรูปการศึกษาจึงผีเข้าผีออก
บอกให้ครูสอนความคิด แล้วดันไปสอบเอาความจำ ที่โรงเรียนสามัคคีราษฎร์รังสรรค์ อ.ป่าแดง จ.เชียงราย ครูแบ่งกลุ่มเด็กทำงานเป็นฝ่ายๆ เช่น ฝ่ายดูแลความสะอาดสนาม-ดูแลห้องน้ำ-ดูแลความประพฤติเพื่อนๆ......มีฝ่ายตรวจตราดูแลการทำงานของแต่ละฝ่าย.
ทุกเช้า เมื่อร้องเพลงชาติแล้วกลุ่มตรวจจะเอาชื่อเด็กที่ทำผิด ไปอ่านแล้วเชิญออกไปชี้แจงหน้าเสาธง ชี้แจงแล้วให้นักเรียนร่วมพิจารณาว่าจะให้เขาแก้ไขตัวเองอย่างไร แล้วโหวตเสียง ส่วนใหญ่มติเขาจะให้ไปทำความดีมาชดเชยความผิด เช่น ให้ทำความสะอาด ล้างส้วมล้างห้องน้ำ ฯลฯ เขาทำทุกวัน จนคดีทะเลาะวิวาทหมดไป คดีของหายลักขโมยหายไป โรงเรียนสะอาดสะอ้าน เด็กมีความรู้รักสามัคคีดีขึ้น........ที่โรงเรียนบ้านสันโค้ง อ.เมืองเชียงราย ครูเรือนใจ อินทะวงศ์ ครูประจำชั้น ป.1 ก่อนนี้เวลาครูก้าวออกพ้นประตูห้อง เด็กจะเล่นกัน คุยกัน ทะเลาะกันเสียงดังลั่นห้อง แต่พอเอาวิธีสอนแบบ 5 ค. ไปสอนได้เดือนเดียว คือจัดเด็กนั่งเป็นกลุ่ม ให้เขาตั้งกฎระเบียบของห้อง แล้วให้แต่ละกลุ่มดูแลสมาชิกของกลุ่ม ให้ปฏิบัติตามกฎของพวกเขา
แค่เดือนเดียว พฤติกรรมเด็กเด็กดีขึ้นผิดหูผิดตา พอสิ้นปีเธอขอตามเด็กเธอขึ้นไปสอน ป.2 อีก จบ ป.2 ก็ขอตามขึ้นไปสอน ป.3 อีก เพราะเธอติดอกติดใจที่เห็นเด็กเรียบร้อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน.........ไม่เคยสอนวินัย แต่เด็กก็มีวินัยด้วยวิธีสอน แบบ 5 ค. เธอจึงแปลกใจว่า สอนความรู้คู่คุณธรรม มันเป็นอย่างนี้เอง วินัยก็คือคุณธรรม มันเกิดกับการสอนแบบ 5 ค. โดยไม่ต้องสอนศีลธรรมก็ได้
การสอนแบบ 5 ค. ก็คือ ธรรมาภิบาล
5 ค. ประกอบด้วย คณะ ค้น คว้า คิด และคาย หรือระบบกลุ่มแบบประยุกต์ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
ก. ระดับห้องเรียน เช่น ห้องเรียนมี 40 คน เราจะแบ่งเป็น 8 กลุ่ม เราก็ให้นับ 1 - 8 เรียงตัวไปจนครบทุกคน แล้วก็ให้คนนับ 1 ไปรวมกันเป็นกลุ่ม 1...คนนับ 2 ก็เป็นกลุ่ม 2......นับ 8 ก็กลุ่ม 8......ฯ แล้วให้แต่ละกลุ่มเลือกหัวหน้า เลือกเลขาฯ
ได้หัวหน้ากลุ่ม 8 คน แล้วก็ให้หัวหน้าทุกคนเป็นคณะบริหารห้องเรียน โดยเลือกกันเป็นหัวหน้าห้องคนหนึ่ง เป็นเลขาฯ คนหนึ่ง ให้เขาร่วมกันร่างกฎระเบียบของห้องเรียนขึ้นเป็นแนวปฏิบัติ.....หากมีใครทำผิดระเบียบก็ให้คณะกรรมการห้องร่วมกันพิจารณา ประธานเชิญผู้ทำผิดออกไปชี้แจง แล้วให้ทุกคนในห้องร่วมวิเคราะห์วิจารณ์กัน ลงท้ายด้วยข้อสรุปว่าจะให้เขาแก้ไขตนเองได้อย่างไร หรือจะพิจารณาโทษอย่างไร.......คนที่ทำผิด เพียงแค่ให้ออกไปชี้แจงเท่านั้น เขาก็เกิดความละอายแล้ว หากถูกเพื่อนวิพากษ์วิจารณ์เข้าไปอีก เขาก็ละอายใหญ่หากถูกเพื่อนลงโทษอีก ก็เกิดความเกรงกลัว.......ความรู้สึกละอาย และเกรงกลัวต่อการทำผิดก็จะเกิดขึ้นในจิตสำนึกของเขา......ครูลงโทษ ยังไม่เกิดความเกรงกลัวเท่าเพื่อนลงโทษ
การสอนแบบ 5 ค. นี้ สามารถนำไปใช้สอนได้ทุกวิชา นอกจากนำไปใช้สอนทุกวิชาแล้ว ยังนำไปฝึกให้เด็กรู้งานรู้การ-รู้หน้าที่แบบที่โรงเรียนสามัคคีราษฎร์รังสรรค์ อำเภอป่าแดดเอาไปใช้ได้ผลมาแล้ว
การสอนแบบ 5 ค. ก็คือการสอนแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง หรือเด็กเป็นสำคัญนั้นแหละ เพียงแต่เอา 5 ค. นี้ ให้เด็กไปค้นไปคว้ามาแล้ว ต้องเอามาคิด เอามาคายให้เพื่อนฟัง แล้วให้เพื่อนคิดให้เพื่อนอภิปรายแสดงความคิดเห็น เป็นการบริหาร-หรือเอ๊กเซอร์ไซด์ความคิด เอ๊กเซอร์ไซด์ปัญญา จะทำให้ปัญญาเด็กได้รับการพัฒนาให้เป็นคนที่มีปัญญากว้าง ปัญญาลึก ปัญญาเฉียบคม เป็นปัญญาที่มีจิตสำนึก เป็นปัญญาที่รู้อะไรควร-อะไรไม่ควร และสามารถใช้ปัญญาที่พัฒนาแล้วนี้ควบคุมพฤติกรรมของตนเองให้เดินไปในทางที่ถูกที่ควร ซึ่งก็คือธรรมะนั่นเอง......การสอนแบบ 5 ค. จึงเป็นการสอน “ธรรมาภิบาล” เป็นการสอน “จิตสำนึก” ที่สังคมเราขาดคุณธรรมสำนึกอันนี้อย่างมาก บ้านเมืองเราจึงมีปัญหาทุกหย่อมหญ้า เพราะขาดธรรมาภิบาล-จิตสำนึก
การเรียนการสอนที่เป็นมา ครูไม่เคยสอนให้เด็กเกิดปัญญาเลยเอาอะไรมาสอนก็ให้เด็กจดจำ ให้เด็กท่องไว้ทำตาม ท่องไว้สอบเอาคะแนนความรู้แข่งกัน สมองก้อนไหนรับความรู้ได้มากเราถือว่าเป็นคนเก่ง......ในความคิดแคบๆ ของผู้บริหารการศึกษาไทยเราคิดว่า คนรู้มากคือคนเก่ง
แต่ประเทศที่เจริญแล้วเขาถือว่า สมองก้อนไหนบรรจุความรู้ไว้มากๆ เขาถือว่าเป็นคนโง่ เพราะสติปัญญาในสมองถูกความรู้เข้าไปทับถมจนบี้แบน ปัญญาก็แคบ เมื่อปัญญาแคบ เพียงคิดทำเข็มกะจิ๋วหลิวก็ทำไม่เป็น จะไปทำเรือรบ-ไปทำมือถือรุ่นแล้วรุ่นอีก แข่งกะใครเขาได้
เรางมงายอยู่กับระบบการศึกษาแบบถ่ายทอดความรู้มานับศตวรรษ แม้จะส่งครูบาอาจารย์ ส่งผู้บริหารการศึกษาไปร่ำไปเรียนกับประเทศที่เขาเจริญ ไปรู้ไปเห็นวิธีสอน วิธีสอบวัดผลของเขา ที่มันแตกต่างกับเรา เราก็ไม่คิด ไม่สะดุดตา ไม่สะดุดใจเอาเลยว่า.....
ทำไมห้องสมุดเขาใหญ่โตมโหฬาร สามารถไปค้นเอาความรู้ทุกสมัยได้ในเวลาไม่กี่นาที เทียบกับห้องสมุดบ้านเราเหมือนฟ้ากับดิน.....ที่ห้องสมุดบ้านเรากระจอกงอกง่อยเพราะเราเอาสมองเป็นห้องสมุด เอาความรู้ใส่ไว้ในสมองเด็กแทบทุกอย่าง.....ส่วนเขาเอาสมองเป็นคลังปัญญาความคิด เขาเอาความรู้ใส่ไว้ที่ห้องสมุด แล้วฝึกให้เด็กไปค้นไปหา เอามาคิดต่อ-ทำต่อ ไม่ใช่เอามาท่องใส่สมองให้โง่อย่างเรา
เวลาสอบทำไมเขาไม่มีกรรมการคุมห้องสอบ.......บางวิชาครูก็ไม่สอบ ถือเอาผลงานที่ให้ทำเป็นคะแนน บางครูเขาให้ข้อสอบข้อเดียวไปทำที่บ้าน 7 วัน.........ที่นั่งบริหารกันอยู่กระทรวงศึกษาทุกวันนี้ ต่างก็ไปรู้ไปเห็นวิธีสอน วิธีวัดผลของเขามาแล้วทั้งนั้น ไม่ได้เก็บมาคิด ไม่ได้เก็บมาวิเคราะห์เหตุ-วิเคราะห์ผลกันเลย ว่าทำไมเขาสอบวัดผลแตกต่างกับของเราลิบลับแบบนั้น.......ก็เพราะความคิดมันถูกทับถมอย่างว่าแหละ เราเคยแต่สอนโดยยึดความรู้เป็นสำคัญ......ไม่เคยยึดเด็กเป็นสำคัญ เราเลยไม่รู้ว่าเด็กเป็นศูนย์กลาง-เป็นสำคัญนั้น......สอนอย่างไร
ตัวอย่างครูฝรั่งสอนโดยยึดเด็กเป็นสำคัญ.......ข่าวจากแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี 2514..........แดนนี่เด็ก ป. 4 เดินไปโรงเรียนผ่านป้ายรถเมล์ เห็นผัวเมียเขาขับรถมาส่งกันขึ้นรถเมล์ ก่อนจากกันเขาก็จูบลากัน บางคู่จูบกันนาน-บางคู่จูบไม่นาน-บางคู่จูบแค่หน้าผากแป๊ปเดียว-บางคู่แค่โบกมือให้กัน
แกสงสัยก็เลยยืนดูเสียเพลินจนไปถึงโรงเรียน เข้าห้องไป เพื่อนๆ เขาทำเลขกันอยู่.......ครูก็เรียกไปถาม แดนนี่ทำไมมาสาย เพื่อนๆ เขาทำเลขจะเสร็จกันหมดแล้ว.......แกก็ตอบว่า ผมมัวเพลินดูผัว-เมียเขาจูบลา ส่งกันขึ้นรถเมล์อยู่ครับ
ครูจึงถามต่อ ทำไมล่ะ........แดนนี่ก็ตอบ ผมสงสัยว่าทำไม บางคู่จูบกันนาน-บางคู่จูบไม่นาน-บางคู่แค่โบกมือให้กัน
ครูก็เลยบอกว่า อาทิตย์หน้า ครูให้เธอไปดูต่อนะ แล้วสรุปสาเหตุมาว่า ที่จูบนาน-จูบไม่นาน นั้นเพราะสาเหตุอะไร
สัปดาห์ต่อมาครูก็ให้เขาเอารายงานไปอ่านหน้าชั้น.....แกก็อ่านให้เพื่อนฟังสรุปว่า “.....คู่ที่จูบกันนานๆ นั้น ส่วนมากเป็นคนหนุ่ม คงแต่งงานกันใหม่ๆ ความรักยังหวานชื่นอยู่........ส่วนคู่ที่จูบไม่นาน อายุกลางๆ คน.....และที่ไม่จูบ แค่โบกมือให้กันนั้นสังเกตเป็นคนแก่แล้ว อยู่กันมานาน ความรักคงจืดจางไปมาก.... ” เพื่อนๆ ฟังแล้วชอบใจ ตบมือกันใหญ่
เราครูไทยพอจะมองเห็นหรือยังว่าสอนโดยยึดเด็กเป็นสำคัญนั้น
ฝรั่งเขาสอนกันอย่างไร นั่นคือเขาฝึกให้เด็กค้น-คิดด้วยตนเอง