เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาไท (มพท.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ณ แคนทารี 304 โฮเทล ปราจีนบุรี อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อขยายผลการทำ “ผังตำบลเพื่อจัดการปัญหาช้างป่า” โดยมุ่งกำหนดทิศทางและเป้าหมายร่วมกัน รวมถึงสำรวจความพร้อมของพื้นที่ในการจัดทำระบบข้อมูลเชิงภูมินิเวศเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาช้างป่าในระดับภูมิภาค ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 120 คน ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาช้างป่าภาคตะวันออก ผู้เชี่ยวชาญด้านช้างป่า ชุดอาสาเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่า วุฒิอาสาธนาคารสมอง และภาคีเครือข่ายการพัฒนา
นางสาวดวงกมล วิมลกิจ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า สภาพัฒน์ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาช้างป่าภาคตะวันออกอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้น 3 ประเด็น สำคัญ ได้แก่ (1) การจัดทำระบบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับช้างป่า (2) การพัฒนาระบบเตือนภัยแบบ Real-Time และ (3) การปรับปรุงระบบช่วยเหลือเยียวยาให้รวดเร็วและเป็นธรรม จากความสำเร็จของพื้นที่นำร่องตำบลทุ่งมหาเจริญ จังหวัดสระแก้ว ที่สามารถพัฒนา “ผังตำบลเพื่อจัดการปัญหาช้างป่า” ซึ่งช่วยให้เห็นจุดเข้า-ออกของช้างป่า ปัจจัยเสี่ยง และระดับความรุนแรงในแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน สภาพัฒน์จึงจัดประชุมครั้งนี้เพื่อขยายผลไปยังจังหวัดฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และนครนายก ผ่านการทบทวนทุนและพัฒนาศักยภาพชุมชนในการจัดเก็บข้อมูลด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ แอปพลิเคชัน Timestamp และโปรแกรม GIS เพื่อนำไปสู่การจัดทำ “ผังภูมินิเวศ” ระดับภูมิภาค
การนำเสนอผลการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาช้างป่าด้วยกระบวนการจัดทำผังตำบลแบบมีส่วนร่วม พื้นที่นำร่อง ตำบลทุ่งมหาเจริญ จังหวัดสระแก้ว
นางสาวสาวิตรี เนียมสำโรง เลขานุการนายก อบต.ทุ่งมหาเจริญ นำเสนอว่า อบต.ได้แก้ไขปัญหาข้อมูลที่กระจัดกระจายและสื่อสารผ่านช่องทางที่ไม่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ โดยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลความเสียหายและจุดพบช้างทั้งหมด จัดตั้ง “กลุ่มไลน์ศูนย์ช่วยเหลือประชาชน” และส่งเสริมให้ “ประชาชนทุกคนเป็นชุดเฝ้าระวัง” ผ่านการใช้โทรศัพท์มือถือและแอปพลิเคชัน Time Stamp ข้อมูลที่ได้รับจะถูกบันทึกลง Google My Maps เพื่อให้หน่วยเฝ้าระวังติดตามตำแหน่งช้าง รวมถึงการใช้โดรนเฝ้าติดตามการเคลื่อนที่
อาจารย์บัญชา เทียมครบุรี วุฒิอาสาจังหวัดสระแก้ว สะท้อนว่า
“ผังตำบล” ไม่ใช่เพียงเครื่องมือจัดเก็บข้อมูลแต่คือกระบวนการสร้างความเข้าใจร่วมกันในระดับพื้นที่ผืนป่าใหญ่ เมื่อข้อมูลจากหลายตำบลเชื่อมโยงกัน จะเห็นภาพรวมเส้นทางการเคลื่อนที่ของช้างป่า ทำให้สามารถแจ้งเตือนพื้นที่ใกล้เคียงล่วงหน้าและเพิ่มประสิทธิภาพการเฝ้าระวังเชิงรุก ทั้งนี้ การดำเนินงานได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน ตั้งแต่กรมอุทยานฯ อบต. อบจ. ไปจนถึงกรมการพัฒนาชุมชนที่ดูแลการฟื้นฟูอาชีพผู้ได้รับผลกระทบจากประสบการณ์ของพื้นที่นำร่อง
จึงเสนอให้จังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และนครนายก นำกระบวนการผังตำบลไปใช้เป็นฐานข้อมูลร่วม เพื่อพัฒนาระบบเตือนภัยและยกระดับการจัดการความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าอย่างบูรณาการและเป็นเอกภาพของทั้งภูมิภาค
แนวทางการจัดการปัญหาช้างป่าที่สอดคล้องกับผังตำบล
นายเอกชัย แสนดี หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
เขาอ่างฤาไน ระบุว่า กรมอุทยานฯ ให้ความสำคัญกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาช้างออกนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์ผ่านมาตรการต่างๆ อาทิ การใช้วัคซีนคุมกำเนิดช้าง การปรับปรุงคูกั้นช้าง การเสริมสร้างความรู้แก่ชุมชน การเพิ่มกำลังชุดเฝ้าระวัง และการขยายเครือข่ายอาสาสมัครระดับหมู่บ้าน นายเอกชัยเน้นว่า การจัดทำและใช้ประโยชน์จาก “ผังตำบล” เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลและรายงานความเสียหายอย่างเป็นระบบ ช่วยลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน และทำให้กรมอุทยานฯ สามารถดำเนินการชดเชยและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบตามระเบียบการจ่ายเงินช่วยเหลือจากงบกลาง พ.ศ. 2568
ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สาระสำคัญจากเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการแก้ไขปัญหาช้างป่าด้วยผังตำบลและกำหนดเป้าหมายการทำงานร่วมกัน
ในช่วงเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผู้แทนจากพื้นที่ขยายผลได้ร่วมกันสะท้อนมุมมองต่อการใช้ “ผังตำบล” ในการแก้ไขปัญหาช้างป่า พร้อมกำหนดเป้าหมายการทำงานร่วมกันในระดับภูมิภาค โดยมี นายบัญชา เทียมครบุรี และ นายวิษณุพงศ์ โนจิตต์ นักจัดการข้อมูลจากบางกอกซิตี้แลป ทำหน้าที่สรุปสาระสำคัญ พบว่า
- ข้อจำกัดและอุปสรรค พื้นที่ต่างๆ เผชิญความท้าทายคล้ายคลึงกัน มีปัญหาการขาดความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน งบประมาณและเครื่องมือไม่เพียงพอ ระบบบริหารจัดการยังไม่เป็นเอกภาพ การสื่อสารและความเข้าใจที่ยังไม่ทั่วถึง รวมถึงการขาดบุคลากรโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่
- ปัจจัยสนับสนุนและโอกาส พื้นที่มีความพร้อมในหลายด้าน อาทิ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก และความร่วมมือของชุมชน
- บทบาทของระดับตำบล อบต.เป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมและกระจายข้อมูล บูรณาการข้อมูลจากหลายฝ่าย ประสานงาน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน รวมถึงการจัดหาเครื่องมือ อาหาร และงบประมาณที่จำเป็นในการเฝ้าระวังช้างป่า
- บทบาทของระดับอำเภอ อำเภอมีบทบาทสำคัญในการจัดสรรงบประมาณ กำกับติดตาม และสนับสนุน
การวางแผนป้องกันเชิงระบบ - ประโยชน์ของ “ผังตำบล” ช่วยให้มีข้อมูลถูกต้องสำหรับวางแผนบริหารจัดการพื้นที่ เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ลดปัญหาซ้ำซ้อน และทำให้การขอรับการสนับสนุนด้านงบประมาณและเครื่องมือชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ชุมชนมีความปลอดภัยและมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ช้างป่ามากขึ้น
- ความต้องการสนับสนุนเพิ่มเติม พื้นที่ยังต้องการงบประมาณ เครื่องมือ บุคลากร ระบบข้อมูลที่ทันสมัยการแจ้งเตือนภัย การป้องกันความสูญเสีย และการพัฒนาองค์ความรู้ในระยะยาว
- เป้าหมายร่วมในระดับตำบล ทุกพื้นที่เห็นพ้องต้องกันว่า การร่วมมือในเรื่องนโยบาย ข้อมูล การวางแผนร่วม การสร้างเครือข่าย รวมถึงการเชื่อมโยงการทำงานเชิงภูมินิเวศ จะช่วยให้การจัดการปัญหาช้างป่ามีประสิทธิภาพ
กระบวนการกลุ่มย่อยตามพื้นที่
การประชุมแบ่งกลุ่มย่อย 5 กลุ่ม ได้แก่ (1) ตำบลสาริกา-เขาพระ จังหวัดนครนายก (2) ตำบลทุ่งพระยา-ท่ากระดาน จังหวัดฉะเชิงเทรา (3) ตำบลคู้ยายหมี-ลาดกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา (4) ตำบลคลองตะเกรา-ท่าตะเกียบ-หนองไม้แก่น จังหวัดฉะเชิงเทรา (5) ตำบลเขาไม้แก้ว-วังท่าช้าง-ลาดตะเคียน จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อทบทวนทุนและศักยภาพในการขับเคลื่อน “ผังตำบลเพื่อจัดการปัญหาช้างป่า” ในพื้นที่ของตน โดยพิจารณาวิธีการเก็บข้อมูล ทีมทำงาน เครือข่าย และทรัพยากรในพื้นที่ พร้อมกำหนดเป้าหมายการทำงานร่วมกัน อาทิ การพัฒนานโยบายร่วมการจัดทำข้อมูล การวางแผนเชิงพื้นที่ การสร้างเครือข่าย และการจัดสรรงบประมาณในระดับภูมินิเวศ
ตัวอย่างจากกลุ่มฉะเชิงเทรา (ทุ่งพระยา–ท่ากระดาน) พบว่า พื้นที่มีทุนมนุษย์เข้มแข็ง อาทิ อาสา อปพร. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และหน่วยป้องกันของ อบต. รวมถึงทุนด้านกายภาพ อาทิ โดรน แต่ยังขาดระบบข้อมูลที่เป็นมาตรฐาน โดยเฉพาะข้อมูลเส้นทาง พฤติกรรม และพื้นที่เสียหาย กลุ่มจึงเสนอให้พัฒนา “ระบบสื่อสารและฐานข้อมูลร่วม” ระหว่างตำบล อาทิ ระบบแจ้งเตือนภัยและศูนย์ประสานงานร่วม รวมทั้งเชื่อมการทำงานกับตำบลปลายทางของเส้นทางช้าง อาทิ อำเภอกบินทร์บุรี เพื่อสร้าง “เครือข่ายภูมินิเวศ” รองรับการควบคุมเส้นทางการเคลื่อนที่ของช้าง วางจุดป้องกันในพื้นที่สำคัญ และลดผลกระทบในพื้นที่ชุมชนอย่างยั่งยืน
ผลจากการระดมความคิดเห็นครั้งนี้สะท้อนว่า พื้นที่ในภาคตะวันออกมีทั้งทุนมนุษย์ ทุนทางสังคม และบทเรียนด้านการจัดการที่เข้มแข็ง ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญต่อการพัฒนา “เครือข่ายพื้นที่ต้นแบบการใช้ผังตำบลเพื่อจัดการปัญหาช้างป่า” ในระดับภูมิภาคต่อไป
แนวทางการดำเนินการในระยะต่อไป
จากกระบวนการทำงานร่วมกันในเวทีครั้งนี้ ทำให้เห็นชัดเจนว่าพื้นที่ในภาคตะวันออกมีศักยภาพและความพร้อมในการยกระดับการจัดการปัญหาช้างป่าด้วย “ผังตำบล” อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีตำบลที่มีศักยภาพและความพร้อมในการจัดทำผังตำบล จำนวน 6 ตำบล ได้แก่ (1) ตำบลทุ่งพระยา จังหวัดฉะเชิงเทรา (2) ตำบลท่ากระดาน จังหวัดฉะเชิงเทรา (3) ตำบลลาดกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา (4) ตำบลเขาพระ จังหวัดนครนายก (5) ตำบลสาริกา จังหวัดนครนายก (6) ตำบลเขาไม้แก้ว จังหวัดปราจีนบุรี ในขณะที่ ตำบลคลองตะเกรา ตำบลท่าตะเกียบ ตำบลคู้ยายหมี ตำบลหนองไม้แก่น ในจังหวัดฉะเชิงเทรา และตำบลวังท่าช้าง ในจังหวัดปราจีนบุรี จะเป็นพื้นที่เรียนรู้การทำงานในลักษณะภูมินิเวศ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ถือเป็น “จุดตั้งต้นสำคัญ” ของการสร้างระบบข้อมูลเชิงภูมินิเวศที่ชุมชนสามารถใช้วิเคราะห์ความเสี่ยง วางแผนป้องกัน และบริหารจัดการผลกระทบจากช้างป่าได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ทั้งยังช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถสนับสนุนและตอบสนองสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และตรงจุดกว่าเดิม
ในก้าวต่อไป สภาพัฒน์ร่วมกับมูลนิธิพัฒนาไท จะเดินหน้าจัดเวทีพัฒนาศักยภาพให้แก่เครือข่ายตำบลที่มีความพร้อม เพื่อยกระดับทักษะการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล การทำงานประสานเครือข่าย และการใช้ผังตำบลเป็นเครื่องมือกลางในการแก้ปัญหา ทั้งในระดับตำบลและระดับภูมิภาค การดำเนินงานดังกล่าวไม่เพียงเป็นการขยายผล “ผังตำบลเพื่อจัดการปัญหาช้างป่า” เท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบความร่วมมือระยะยาว ที่จะช่วยลด
ความสูญเสียและเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับชุมชน


































